ในสภาพอากาศร้อนอบอ้าวของเมืองไทย การติดตั้งเครื่องปรับอากาศในบ้านจึงเป็นเรื่องจำเป็น แต่การเลือกแอร์ที่เย็นฉ่ำและประหยัดไฟก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้บ้านเย็นสบายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าไฟฟ้าที่พุ่งสูง
ปัจจุบัน มีแอร์หลากหลายประเภทในท้องตลาด แต่ประเภทที่เหมาะกับการติดตั้งในบ้านมากที่สุดคือแอร์แบบติดผนัง ด้วยขนาดที่กะทัดรัดและการติดตั้งที่ง่ายดาย แอร์แบบติดผนังจึงเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
เพื่อให้ได้แอร์ที่เย็นฉ่ำและประหยัดไฟ มาดูคุณสมบัติสำคัญที่ควรพิจารณากัน
- ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) เป็นตัววัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานของแอร์ ยิ่งค่า SEER สูง แสดงว่าแอร์ยิ่งประหยัดไฟ โดยค่า SEER ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในบ้านคือ 16 ขึ้นไป
- ระบบ Inverter เป็นระบบที่ช่วยควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ประหยัดไฟได้มากกว่าแอร์แบบธรรมดา
- สารทำความเย็น แอร์ที่ใช้สารทำความเย็น R-32 เป็นสารทำความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงกว่าสารทำความเย็นชนิดอื่นๆ
- ฟังก์ชันการทำงาน แอร์ที่มีฟังก์ชันการทำงานหลากหลาย เช่น โหมดประหยัดไฟ โหมดเร่งความเย็น และโหมดตั้งเวลาปิด จะช่วยให้ประหยัดไฟและใช้งานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
การเลือกแอร์ที่เย็นฉ่ำและประหยัดไฟเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างบรรยากาศที่เย็นสบายในบ้าน โดยคำนึงถึงคุณสมบัติต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น จะช่วยให้ท่านเลือกแอร์ที่เหมาะกับความต้องการและช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขนาดพื้นที่ห้องต่อ BTU
ขนาดของพื้นที่ห้องเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือก BTU ของแอร์ที่เหมาะสม ดังนั้นก่อนการเลือกซื้อเราควรรู้ว่าห้องที่จะติดตั้งแอร์ควรใช้กี่ BTU
วิธีคำนวณ BTU ของแอร์
มีสูตรคำนวณง่ายๆ ที่สามารถใช้ประมาณ BTU ของแอร์ที่เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ห้องได้ ดังนี้
BTU = (พื้นที่ห้อง x ความสูงของห้อง) x 600
โดยที่
- พื้นที่ห้อง เป็นหน่วยตารางเมตร
- ความสูงของห้อง เป็นหน่วยเมตร
- 600 เป็นค่าคงที่ที่ใช้สำหรับการคำนวณโดยทั่วไป
ตัวอย่าง
หากห้องมีขนาด 3 x 4 เมตร และมีความสูง 2.5 เมตร
BTU = (3 x 4 x 2.5) x 600
BTU = 18,000
ดังนั้น แอร์ที่เหมาะสมกับห้องนี้ควรมีขนาด 18,000 BTU
หมายเหตุ:
- สูตรนี้เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้นเท่านั้น ปัจจัยอื่นๆ เช่น ทิศทางของห้อง จำนวนหน้าต่าง และความร้อนจากอุปกรณ์ไฟฟ้าในห้อง อาจส่งผลต่อขนาด BTU ที่เหมาะสม
- สำหรับห้องที่มีเพดานสูงกว่า 3 เมตร ควรเพิ่ม BTU อีก 10%
- หากห้องมีแดดส่องโดยตรงหรือมีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานสูง ควรเพิ่ม BTU อีก 15-20%