ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยสูงกว่าประเทศมาเลเซียเนื่องจากหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ:
- โครงสร้างราคาขายปลีกที่แตกต่างกัน: ราคาน้ำมันในไทยประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ต้นทุนราคาเนื้อน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่น, ภาษีต่างๆ (ภาษีสรรพสามิต, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีเทศบาล), เงินสมทบกองทุนต่างๆ (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน), และค่าการตลาด. ในขณะที่ราคาน้ำมันในมาเลเซียมีเพียง 2 ส่วน คือ ต้นทุนราคาเนื้อน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่น และค่าการตลาด
- คุณภาพน้ำมันที่สูงกว่า: น้ำมันในไทยมีคุณภาพสูงกว่ามาเลเซีย โดยใช้มาตรฐานยูโร 4 ขึ้นไป ส่วนมาเลเซียมีมาตรฐานยูโร 2-5 จึงทำให้ต้นทุนในการผลิตของไทยสูงกว่า
- นโยบายด้านพลังงานที่แตกต่างกัน: ไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ เนื่องจากมีน้ำมันไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบมากลั่น และมีการเก็บภาษีต่างๆ เพื่อจูงใจให้ประชาชนใช้อย่างประหยัด และนำเงินภาษีส่วนนี้มาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ. ในขณะที่มาเลเซียเป็นประเทศส่งออกพลังงานสุทธิ มีรายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในแต่ละปีจำนวนมาก และไม่เก็บภาษี (ยกเว้นน้ำมัน RON97 ที่มีภาษี 6%) รวมทั้งมีการอุดหนุนราคาน้ำมันขายปลีกให้ต่ำกว่าความจริงอีกด้วย
- ต้นทุนค่าขนส่งที่สูง: ต้นทุนค่าขนส่งของไทยสูงกว่ามาเลเซีย เนื่องจากระยะทางจากสิงคโปร์มาไทยไกลกว่าสิงคโปร์ไปมาเลเซีย ทำให้ต้นทุนเนื้อน้ำมันไทยแพงกว่าเล็กน้อย
- นโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัด: รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัด โดยมีการเก็บภาษีต่างๆ เพื่อจูงใจให้ประชาชนใช้อย่างประหยัด และนำเงินภาษีส่วนนี้มาใช้เป็นงบประมาณในการพัฒนาประเทศ
เหล่านี้คือปัจจัยหลักที่ทำให้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยมีราคาสูงกว่าประเทศมาเลเซีย